มะเขือเทศ กิน/ดื่มอย่างไร ให้ได้ประโยชน์สูงสุด
น้ำมะเขือเทศ เป็นเครื่องดื่มที่มีสรรพคุณหลากหลาย และมีสารอาหารสำคัญมากมาย โดยเฉพาะในเรื่องของผิวสวย น้ำมะเขือเทศจึงเป็นเครื่องดื่มที่คุณผู้หญิงทั้งหลายนิยมดื่มกันมาก นอกจากการบำรุงผิวแล้วน้ำมะเขือเทศยังมีประโยชน์อย่างอื่นอีกมากมาย โดยสารหลักที่เป็นประโยชน์ของ มะเขือเทศ ก็คือ "ไลโคปีน" มีมากใน มะเขือเทศ และแตงโม เป็นสารชนิดหนึ่งที่ช่อยต่อต้านอนุมูลอิสระ และจำเป็นในทุกช่วงอายุของคนเรา
ช่วงนี้กระแสการดื่มน้ำ มะเขือเทศ กำลังมาแรง ด้วยคุณสมบัติที่ว่า ดื่มแล้วขาว ดื่มแล้วสวย ดื่มแล้วผิวพรรณดี แบบนี้คุณผู้หญิงทั้งหลายก็หูผึ่ง ตามหาน้ำมะเขือเทศมาดื่มตามกันเป็นแถวๆ หากแต่บางคนก็ยังสงสัยว่าสรรพคุณที่หลายคนเอ่ยอ้างนี้จะเป็นความจริงหรือเปล่า ก็เลยขอนำข้อมูลดีๆเกี่ยวกับมะเขือเทศมาฝากกัน
วิธีทานมะเขือเทศให้ได้ประโยชน์มากที่สุด
ส่วนใหญ่ในการรับประทานผัก หากต้องการให้ได้แร่ธาตุและวิตามินครบถ้วนก็มักจะต้องทานแบบดิบๆ แต่มะเขือเทศไม่เป็นเช่นนั้น การทานมะเขือเทศเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด ต้องทำให้มะเขือเทศสุกเสียก่อน เนื่องจากมะเขือเทศที่ผ่านความร้อนแล้ว จะทำให้ไลโคปีนกับเนื้อเยื่อของมะเขือเทศหลุดออกจากกันได้ง่าย ร่างกายจึงสามารถนำไปใช้ได้ดีกว่ากินแบบไม่ผ่านความร้อน อีกทั้งไลโคปีนนั้นสามารถละลายได้ดีในน้ำมัน ดังนั้นหากเราใช้น้ำมันในการปรุงมะเขือเทศ จะยิ่งทำให้ร่างกายดูดซึมไลโคปีนดียิ่งขึ้น
แต่ก็ใช่ว่าทานมะเขือเทศแบบสดจะไม่ดี
เพราะในมะเขือเทศก็มีวิตามินซีสูงเช่นกัน ดังนั้นหากต้องการวิตามินซีสูง มีใยอาหาร ทำให้ผิวพรรณดี ก็รับประทานสด แต่ถ้าต้องการให้ร่างกายได้รับสารไลโคปีนมากๆก็รับประทานที่ผ่านความร้อนมาแล้วได้เช่นกัน สรุปแล้วมะเขือเทศมีคุณค่าน่ารับประทานยิ่งนักส่วนใครที่ชอบดื่มเป็นน้ำมะเขือเทศก็อย่าดื่มมากเกินวันละ 2 แก้ว เพราะเดี๋ยวโรคนิ่วจะถามหาเอาได้
นอกจากเรื่องการทานมะเขือเทศที่ปรุงสุกแล้วจะได้ประโยชน์สูงสุด เรื่องเพศที่ทานมะเขือเทศก็สำคัญโดยผู้หญิงควรทานมะเขือเทศสดเพราะจะทำให้ร่างกายได้รับวิตามินซี และใยอาหารมากทำให้ผิวสวย ส่วนผู้ชายควรทานมะเขือเทศสุกเพื่อให้ร่างกายได้รับสารไลโคปีนมากๆ เพื่อช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก
ประโยชน์ของไลโคปีนในมะเขือเทศ
"ไลโคปีน" (lycopene) ที่อยู่ในมะเขือเทศ เป็นสารอีกตัวในกลุ่มแคโรทีนอยด์ พบมากในผักผลไม้ที่มีสีส้มสีแดง อย่างเช่น แครอท แตงโม มะละกอ ฟักข้าว เกรปฟรุต ซึ่งถือว่าเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่สามารถป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งมะเขือเทศสด 100 กรัม จะมีปริมาณไลโคปีนอยู่ประมาณ 0.9 –9.30 มิลลิกรัม ซึ่งมีส่วนช่วยบำรุงสุขภาพแทบจะทุกสัดส่วนของร่างกาย
สรรพคุณของมะเขือเทศ
- ช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับโรคหอบหืดได้มากถึง 45%
- ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์
- ช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด เลือดออกตามไรฟัน
- ช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด
- มะเขือเทศมีฤทธิ์ในการช่วยขับปัสสาวะ
- ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง
- ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ
- ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดภาวะเส้นเลือดตีบ การเกิดโรคหัวใจวาย สำหรับผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ
- ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด
- ช่วยในระบบย่อยในกระเพาะอาหารและช่วยในการขับถ่ายอุจจาระได้สะดวก
- ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราหรือเชื้อราที่ปาก
- ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็งลำไส้
- ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในเพศชายได้ถึง 45% หากรับประทานมะเขือเทศเป็นประจำ
- ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งรังไข่ในเพศหญิง
- ซอสมะเขือเทศช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดหลังจากการหกล้มหรือถูกมีดบาดได้
อย่างที่ได้ทราบกันไปแล้วว่ามะเขือเทศต้องทานแบบปรุงสุกก่อน(ผ่านความร้อน) จึงจะได้โลโคปีนมากสุด แต่ถ้าอยากดื่มเป็นน้ำมะเขือเทศเพื่อให้ได้ประโยชน์มากสุดนั้น เราจำเป็นต้องกำหนดช่วงเวลาดื่มน้ำมะเขือเทศ เพื่อให้ร่างกายนำสารอาหารจากน้ำมะเขือเทศไปใช้งานได้ดีที่สุด โดยสามารถแบ่งออกได้ 2 ช่วงเวลาคือ
ดื่มก่อนทานอาหารในช่วงท้องว่าง อาจจะหยดน้ำมันเล็กน้อยลงไปในน้ำมะเขือเทศ จะทำให้ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้น
ดื่มหลังอาหารในทันที เพราะไขมันในอาหารจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมไลโคปีนได้ดีมากขึ้น
ผู้ที่ห้ามดื่มน้ำมะเขือเทศ
ไม่ใช่ว่าทุกคนจะกินมะเขือเทศได้ประโยชน์ทั้งหมด เพราะว่ามะเขือเทศเป็นผักผลไม้ ที่มีธาตุโพแทสเซียมสูงมาก ดังนั้นผู้ที่ไม่ควรทานมะเขือเทศเลย ไม่ว่าจะแบบสด หรือปรุงสุก ก็คือผู้ที่กำลังป่วยเป็นโรคไต หรือผู้มีโพแทสเซียมในเลือดสูง เพราะร่างกายจะมีปัญหาได้หากขับโพแทสเซียมออกไม่ได้หมด นอกจากนี้คนที่มีภาวะกรดไหลย้อนก็ไม่ควรทานมะเขือเทศมากเกินไป เพราะมะเขือเทศมีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อนๆ จะยิ่งทำให้อาการหนักขึ้นได้
ดื่มน้ำมะเขือเทศแค่ไหนจึงจะพอดี
อาหารทุกชนิดถ้าทานมากไปย่อมเกิดอันตรายได้ทั้งหมด #น้ำมะเขือเทศก็เช่นกัน ถ้าดื่มมากไปร่างกายจะได้รับวิตามินซีสูงเกินไป จนเกิดโรคนิ่วได้ นอกจากนี้ยังมีโพแทสเซียมสูงดังนั้น ปริมาณการดื่มน้ำมะเขือเทศที่แนะนำต่อวันคือไม่ควรเกิน 2 แก้วหรือ 2 กล่อง(เล็ก)ต่อวัน เพราะนี่คือปริมาณที่ร่างกายสามารถขับโพแทสเซียมออกไปได้หมด
ขอขอบคุณ.....
แหล่งที่มา......https://www.youtube.com/watch?v=urAa0U-Tq_8





No comments:
Post a Comment